|
ขอบคุณข้อมูล โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ (7 ธ.ค. 2560) [1086 Views]
|
รัฐเล็งคุมรถอีวีจากจีนเข้ามาตีตลาดอาเซียน เตรียมนำหารือ HLJC ไทย-จีน ม.ค.นี้ พร้อมดันผลิตในประเทศรับตลาดโต
พล.อ.นาวิน ดำริกาญจน์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-จีน โดยมีผลบังคับใช้ในเดือน ม.ค. 2561 อาจส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle:EV) หรืออีวี ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ขณะนี้ เนื่องจากผลของข้อตกลงจะทำให้มีรถยนต์อีวีจาก จีนเข้ามาตีตลาดใน อาเซียนได้ในราคาถูกเพราะเป็นหนึ่งในสินค้าที่ลดภาษีนำเข้าลงเหลือ 0%
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้มีคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเพื่อหาแนวทางลดผลกระทบ ซึ่งจากที่ได้สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องทราบว่า ขณะนี้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวแล้ว โดยจะได้นำเสนอหารือกับฝ่ายจีนด้วยในการประชุม คณะกรรมการระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและลงทุนไทย??-จีน (?HLJC) ที่จะมีขึ้นในเดือน ม.ค. 2561
นอกจากนี้ เอกชนได้เสนอให้มีการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์แบบผสมที่ (ไฮบริด) ให้เหลือ 0% จากปัจจุบันที่มาตรการสนับสนุนเก็บอยู่ 2% กรมสรรพสามิตยืนยันว่าอัตราภาษีที่กำหนดไว้มีความเหมาะสม ขณะที่รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนเพื่อผลิตรถอีวีในประเทศตามความต้องการตลาด
ราคาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่ลดลงเรื่อยๆ จากในปี 2553 ที่ราคาแบตเตอรี่อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์/กิโลวัตต์ชั่วโมง มาอยู่ที่ 200 ดอลลาร์/กิโลวัตต์ชั่วโมง ในปี 2558 ซึ่งในรถยนต์หนึ่งคันต้องมีการใช้แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 60 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงและประสิทธิภาพที่มากขึ้นจะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยพล.อ.นาวิน กล่าว
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้ารวมกับรถยนต์ไฮบริดทั่วโลกประมาณ 2 ล้านคัน เพิ่มจากปี 2544 จากงานศึกษาของ บลูมเบิร์กคาดว่ารถอีวีจะแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (CBT) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยภายในปี 2569 สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% และภายในปี 2583 รถยนต์ไฟฟ้าจะครองสัดส่วนทางการตลาด 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่จำหน่ายทั้งหมดประมาณ 35% หรือมียอดขายทั่วโลกกว่า 45 ล้านคัน
|