|
ขอบคุณข้อมูล MGR Online (26 ก.พ. 2018) [1457 Views]
|
คุยกับแม่ทัพแบรนด์รถจักรยานยนต์คลาสสิกชื่อดังสัญชาติอังกฤษ ไทรอัมพ์ หลังบริษัทแม่จากเมืองผู้ดีประกาศตัวเดินหน้าเข้ามาลุยตลาดบิ๊กไบค์ในเมืองไทยด้วยตัวเอง และใช้ระยะเวลาเพียง 1 ปี สามารถขึ้นครองบัลลังก์เบอร์หนึ่งสองล้อค่ายยุโรปและอเมริกันได้สำเร็จ โดยเมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว น่าสนใจว่าในส่วนของแผนดำเนินธุรกิจและเป้าหมายหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไรต่อไป...จักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมให้คำตอบ
อัพเดตสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา
ในภาพรวมกลุ่มบิ๊กไบค์พรีเมียมยูโรเปี้ยนและอเมริกัน ปี 2560 ข้อมูลจากยอดจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก มีอัตราการเติบโตประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2559 ส่วนของไทรอัมพ์ในช่วงเวลาเดียวกัน มีอัตราเติบโตประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ และหากพิจารณาจากยอดจดทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม ปีที่ผ่านมา ไทรอัมพ์มียอดจดทะเบียนประมาณ 2,850 คัน ในส่วนของมาร์เก็ตแชร์ ไทรอัมพ์คือเบอร์หนึ่งในไทย เราเป็นผู้นำตลาดหรือผู้ที่มียอดจดทะเบียนสูงสุดในกลุ่มบิ๊กไบค์พรีเมียมค่ายยุโรปและอเมริกันในไทย และเป็นปีที่สองติดต่อกันอีกด้วย
โดยปี 2558 ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทแม่จากประเทศอังกฤษเข้ามาทำตลาดเอง ไทรอัมพ์ยังเป็นอันดับสอง มีส่วนแบ่งประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ขยับมาในปี 2559 มีแชร์เพิ่มเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ และล่าสุดในปีก่อน เรามีแชร์อยู่ที่ 44 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ประชากรไทรอัมพ์ทั้งหมดในไทย คาดว่าปัจจุบันตีตัวเลขกลมๆ มีประมาณ 7,550 คัน ซึ่งยังถือว่ามีโอกาสที่สามารถเติบโตไปต่อได้อีกมาก
สองโมเดลล่าสุด ไทเกอร์ 800 XCA(ซ้าย) และ XRT(ขวา)
สัดส่วนความนิยม
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ไทรอัมพ์รุ่นเริ่มต้นมีราคาอยู่ที่ 399,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 665,000 บาท โดยในกลุ่มคลาสสิก ได้รับความนิยมสูงสุด มีสัดส่วนประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ด้วยจังหวะเวลาที่ในกลุ่มนี้เพิ่งเปิดตัวโมเดลใหม่แบบยกแผง ขณะที่ในกลุ่มอื่นๆ อย่างเน็กเก็ตไบค์ก็เริ่มทยอยเปิดตัวตามมา หรืออย่างในกลุ่มแอดเวนเจอร์ไบค์ตระกูลไทเกอร์ก็เพิ่งเปิดตัวไป และน่าจะส่งมอบรถให้ลูกค้าได้ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ผมเชื่อว่าหลังจากนี้สัดส่วนในกลุ่มเน็กเก็ตจากเดิม 4 เปอร์เซ็นต์ และแอดเวนเจอร์จากเดิม 6 เปอร์เซ็นต์ จะขยายตัวมากขึ้นทั้งสองกลุ่ม
เครือข่ายการขายปัจจุบัน-อนาคต
สำหรับดีลเลอร์ปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด 13 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมี 4 แห่ง ได้แก่ พระราม 9, รังสิต, บางนา และพระราม 5 ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดมี 9 แห่ง ได้แก่ ลพบุรี, พิษณุโลก, เชียงใหม่, เชียงราย, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, พัทยา, หาดใหญ่ และภูเก็ต
ด้านแผนการขยายเครือข่ายในปีนี้ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีหนึ่งแห่งกำลังก่อสร้างอยู่ย่านถนนวิภาวดี คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนเดือนมิถุนายนนี้แน่นอน ส่วนตามแผนงานจริงๆ จนถึงสิ้นปีนี้ บริษัทมองว่าอยากเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โคราชหรือนครราชสีมา และที่หัวหิน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนหาพาร์ทเนอร์ชิพหรือคู่ค้าทางธุรกิจ
ขณะเดียวกันนอกจากขยายดีลเลอร์เพื่อให้บริการหลังการขายได้อย่างทั่วถึงแล้ว ในด้านกิจกรรมในแต่ละดีลเลอร์ในแต่ละเดือนจะมีกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมออกทริปขับขี่กันอยู่ตลอด ในหนึ่งปีมีไม่ต่ำกว่า 170 ครั้ง มีลูกค้ามากกว่า 2,000 คน ที่มาร่วมกิจกรรม แต่คนภายนอกอาจยังไม่ค่อยรู้ หลังจากนี้คงต้องเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นควบคู่ไปด้วย
|