|
ขอบคุณข้อมูล MGR Online (9 พ.ค. 2018) [996 Views]
|
โตโยต้า, นิสสัน และฮอนด้า จับมือผู้ผลิตแบตเตอรี่และบริษัทเคมีภัณฑ์ร่วมชาติโดยมีรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนเงินทุน พัฒนาแบตเตอรี่โซลิดสเตทสำหรับรถไฟฟ้าแห่งอนาคตที่สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 800 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังเพื่อกู้ชื่อญี่ปุ่นในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ที่ถูกจีนและเกาหลีใต้ท้าทายอย่างหนัก
โครงการนี้ซึ่งเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม เป็นการจับคู่ระหว่างกิจการค้าร่วมสำหรับศูนย์การประเมินและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (ลิบเทค) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยที่มีสมาชิกรวมถึงบริษัทเคมีภัณฑ์อย่างอาซาฮี คาเซอิ, โทเรย์ อินดัสทรีส์ และคูราเร กับบริษัทรถคือ โตโยต้า, นิสสัน และฮอนด้า และผู้ผลิตแบตเตอรี่ เช่น พานาโซนิก และยีเอส ยัวซ่า โดยมีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ให้ทุนสนับสนุน 20 ล้านดอลลาร์
เทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตท (Solid-state batteries) หรือแบตเตอรี่แบบแข็ง ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญครั้งใหม่สำหรับการพัฒนารถไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อิเล็กโทรไลต์เหลวที่ถูกทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง ทำให้ผลิตง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากไม่มีโอกาสเกิดการรั่วไหล นอกจากนั้นยังมีส่วนประกอบน้อยกว่า ต้นทุนถูกกว่า ไว้วางใจได้มากกว่า และให้พลังงานมากกว่าเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่สำคัญยังใช้เวลาชาร์จเพียงไม่กี่นาที
เป้าหมายหลักของโครงการนี้ครอบคลุมการปรับปรุงศักยภาพของแบตเตอรี่โดยใช้อิเล็กโทรไลต์เหลว ลิบเทคหวังว่า จะวางตลาดแบตเตอรี่โซลิดสเตทที่เพิ่มระยะขับเคลื่อนของรถไฟฟ้าเป็น 550 กิโลเมตรในปี 2025 จาก 400 กิโลเมตรในปัจจุบัน และเพิ่มเป็น 800 กิโลเมตรภายในปี 2030 ซึ่งเท่ากับเทสลา โมเดล S 100D ที่ใช้ชุดแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh ที่ทั้งหนักและแพง
ตามรายงานนั้น เชื่อกันว่า เทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตทของโตโยต้าเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุดในโลก ทว่า บริษัทรถเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นแห่งนี้ยังไม่ได้พัฒนาออกมาขาย แต่เล็งเป้าหมายคร่าวๆ ไว้ว่า จะวางตลาดรถที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ในปี 2022 อย่างไรก็ดี โครงการความร่วมมือล่าสุดมีเป้าหมายในการเร่งรัดเทคโนโลยีนี้ด้วยการผสมผสานความเชี่ยวชาญจากสมาชิกแต่ละรายในกิจการค้าร่วมเพื่อนำไปสู่การผลิตแบบมวลชน
การรวมตัวกันครั้งนี้ยังมีวัตถุประสงค์ในการพลิกฟื้นส่วนแบ่งตลาดที่ทรุดดิ่ง จากเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่บริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ทั่วโลกถึง 70% แต่ระยะหลังกลับถูกจีนและเกาหลีใต้ร่วมกันเขมือบ โดยในปี 2016 บริษัทจีนกวาดส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มเป็น 26% จากแค่ 3% ในปี 2013 ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นส่วนแบ่งตลาดของญี่ปุ่นวูบลงเหลือเพียง 41%
การอวดอ้างเทคโนโลยีแห่งอนาคตเป็นวิธีหนึ่งในการกอบกู้ความเป็นผู้นำ กระทรวงอุตสาหกรรมญี่ปุ่นนั้นกระตือรือร้นที่จะฟื้นบทบาทนำในการกำหนดมาตรฐานแบตเตอรี่โซลิดสเตท และอาจพยายามจดทะเบียนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์
พัฒนาการนี้ยังเกิดขึ้นขณะที่รถไฟฟ้ากลายเป็นกระแสระดับโลก เช่น จีนที่คาดหวังว่า จะเห็นอีวีวิ่งบนท้องถนนถึง 80 ล้านคัน จาก 650,000 คันในปี 2016 ขณะที่เยอรมนีเล็งเป้าหมายไว้ที่ 6 ล้านคัน เพิ่มจาก 70,000 คันเมื่อสองปีที่แล้ว ส่วนญี่ปุ่นหวังเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้าเป็น 20-30% ของยอดขายรถใหม่ภายในปี 2030
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทญี่ปุ่นรวมพลังกันส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือก เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทรถชั้นนำ 3 แห่งยังร่วมกันตั้งบริษัทใหม่เพื่อเร่งรัดพัฒนาสถานีไฮโดรเจนสำหรับรถเซลล์เชื้อเพลิง ในประเทศ ต่อยอดจากโครงการร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีไฮโดรเจนภายใต้ชื่อ เอช2 โมบิลิตี้ รวมทั้งเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จอีวีในญี่ปุ่น
|