|
ขอบคุณข้อมูล ฐานเศรษฐกิจ (3 ก.พ. 2019) [1077 Views]
|
ประกาศผลการดำเนินงานในปี 2561 อย่างสวยงาม สำหรับบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด ที่สามารถทำยอดขายได้ 84,560 คัน เติบโต 21.3% กวาดส่วนแบ่งทางการตลาดได้ 8.1% ส่วนรถที่ขายดีที่สุดยังคงเป็นปิกอัพ
ไทรทัน ที่ทำได้ 39,984 คัน ตามมาด้วยอีโคคาร์อย่าง มิราจ และ แอททราจ ที่มียอดรวมกัน 26,085 คัน, ปาเจโร สปอร์ต 12,982 คัน และน้องใหม่เอ็กซ์แพนเดอร์ 5,509 คัน
เบื้องหลังความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และก้าวต่อไปของมิตซูบิชิในปี 2562 จะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน วันนี้ โมริคาซุ ชกคิกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัดจะมาเป็นผู้บอกเล่า
ยอดขายเข้าเป้า
ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถใหม่ เริ่มตั้งแต่ เอ็กซ์แพนเดอร์ และไทรทัน ใหม่ ตามมาด้วย มิราจ, แอททราจ,ปาเจโร สปอร์ต ปี 2019 และรุ่นลิมิเต็ด อิดิชันอีก 4 รุ่น ประการต่อมาคือเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ ที่ปรับรูปแบบใหม่ พร้อมทั้งแผนขยายโชว์รูมเพิ่มต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มี 223 เอาต์เลต และยังเพิ่มมาตรฐานของดีลเลอร์ ให้ความสำคัญกับศูนย์บริการ ขณะที่กิจกรรมการตลาดพยายามจะเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด มีการมอบโปรโมชัน สนับสนุนการสื่อสารตลาดในทุกช่องทางมีเดีย
แผนงานในปี 2562
กลยุทธ์ในปีนี้ ยังประกอบไปด้วย 3 ข้อหลักเหมือนปีที่ผ่านมา โดยแผนงานเกี่ยวกับรถรุ่นใหม่จะเปิดตัว 7 รุ่น ด้านเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการจะเพิ่มเป็น 230 เอาต์เลต และภายใน 2 ปีจะพัฒนาโชว์รูมให้เป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมเพิ่มทักษะของบุคลากร เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
เป้าหมายในปีนี้
มิตซูบิชิต้องการมีส่วนแบ่งการตลาด 9% หรือประมาณ 9.4 หมื่นคัน ด้านการส่งออกใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่ทำได้ 3.47 แสนคัน โดยตลาดหลักยังเป็นยุโรป, เอเชีย, อเมริกาเหนือ อย่างไรก็ดีตลาดส่งออกมีปัจจัยเสี่ยง อาทิ สงครามการค้า ขณะที่ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2562 คาดว่าจะมีตัวเลขใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือ 1.04 ล้านคัน
ความคืบหน้ารถยนต์ไฟฟ้า
ปลายปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการรถยนต์ไฟฟ้ากับบีโอไอ ที่จะหมายรวมถึงการผลิตที่ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบอีวี (EV)และแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV)ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าจะได้รับการอนุมัติ ส่วนรายละเอียดว่าจะเริ่มผลิตเมื่อไร หรือ รุ่นไหน ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ แต่เบื้องต้นประเมินว่ารถแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดใช้งานได้จริงวิ่งใน ระยะทางไกลกว่า เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
มิตซูบิชิมองว่า ปัจจุบันสิทธิประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยเกินไป ยกตัวอย่าง ในประเทศที่มีการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อาทิ ยุโรป หรือ อเมริกา มีการสนับสนุนทั้งเรื่องการลดภาษีเงินได้, การช่วยเหลือผู้ที่ซื้อรถเหล่านื้ และอีกข้อคือ ความพร้อมของสถานีชาร์จไฟมีทั้งเอกชนและรัฐที่พยายามขยายสถานีต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ
|