|
ขอบคุณ MGR Online (25 ก.ค. 2024) [604 Views]
|
ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในประเทศจีนยังมีทิศทางและแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดเผยตัวเลขยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ปรากฏว่า ทั้ง 2 ส่วนมีอัตราการเติบโตในระดับ 6.1 และ 4.9 % ตามลำดับ ขณะที่รถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV-New Energy Vehicle ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นครั้งแรกในประเทศจีน ที่ตัวเลขในส่วนนี้มีอัตราเติบโตในเชิงสัดส่วนของตลาดที่มากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE
จากการเปิดเผยของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน CPCA หรือ China Passenger Car Association (CPCA) และ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ของจีน China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) แสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโตที่น่าพอใจในเชิงตัวเลขยอดขายและการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ โดยผ่านมาถึงเดือนมิถุนายน หรือครึ่งแรกของปี 2024 ตลาดมียอดการผลิตอยู่ที่ 14.047 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนในเรื่องของยอดขายนั้นเพิ่มขึ้นถึง 6.1% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วมาอยู่ที่ 13.891 ล้านคัน
ตลาดพลังไฟฟ้ายังเติบโต
จากการเปิดเผยของ Rho Motion ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยชั้นนำที่มุ่งเน้นตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า ระบุว่า ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตช้าที่สุดสำหรับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงครึ่งแรกของปี และแม้ว่าครึ่งแรกของปีนี้ ตัวเลขยอดขายทั่วโลกจะอยู่ในระดับ 7 ล้านคัน แต่ก็เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 โดยยานพาหนะไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV) คิดเป็น 65% ของยอดขายรวมทั่วโลกในครึ่งแรกของปีนี้ ส่วนที่เหลืออีก 35% เป็นรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฮบริด
เมื่อแยกเฉพาะในส่วนของรถยนต์พลังไฟฟ้าแล้ว จีนยังครองส่วนแบ่งหลักในตลาดด้วยตัวเลขยอดขายรวม 4.1 ล้านขึ้น หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจีนถือเป็นผู้เล่นหลักของตลาดประเภทนี้ เพราะจากภาพรวมของยอดขายทั่วโลก 7 ล้านคัน ในครึ่งแรกของปีนี้ จีนครองส่วนแบ่งไปแล้วมากกว่า 58.6% เลยทีเดียว
Charles Lester หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล EV ของ Rho Motion กล่าวว่า ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าทั่วโลกสามารถรับประโยชน์ยจากการเติบโต 20% ช่วงครึ่งปีแรก แต่ความแตกต่างในระดับภูมิภาคนั้นค่อนข้างน่ากังวลในแง่ของตัวเลข และการเติบโต 1% ของยุโรปเปรียบเทียบกับการขยายตัว 30% ของจีน เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ และจะต้องมีการจัดการอย่างเร่งด่วนถ้ายังมองว่ารถยนต์พลังไฟฟ้าคือเป้าหมายในการขับเคลื่อนยุคหน้า
สิ่งที่น่าประหลาดใจอีกประการหนึ่งของปีนี้คือการฟื้นตัวของ PHEV ซึ่งทำท่าว่าจะมียอดขายลดลงช่วงปลายปีที่แล้ว แต่ขณะนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และคิดเป็นยอดขายมากกว่าหนึ่งในสามของรถยนต์ไฟฟ้า ภาพรวมก็คือปี 2024 จะไม่เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนกับที่ใครบางคนคาดหวัง เพราะปัจจัยหลายอย่างอาจมีความความเปลี่ยนแปลงและไม่ได้เป็นไปตามที่คาด
ยอดจำหน่ายรถยนต์พลังไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปี 2024
ทั่วโลก : 7 ล้านคัน +20% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
-จีน : 4.1 ล้านคัน +30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
-ยุโรป และอังกฤษ : 1.5 ล้านคัน +1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
-สหรัฐอเมริกาและแคนาดา : 800,000 คัน +10% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
-ส่วนที่เหลือของโลก : 600,000 คัน +26% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
BYD ขึ้นแท่นผู้นำตลาดรถพลังไฟฟ้าในจีน
BYD ยังถือเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่โดยในครึ่งแรกของปี 2024 นั้น พวกเขาทำตัวเลขยอขายถึง 1.607 ล้านคัน หรือคิดเป็น 11.5% ของยอดขายรวมทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ตามด้วยเชอร์รี่ 1.057 ล้านคัน ขณะที่ Tesla ซึ่งตอนแรกเป็นผู้นำในตลาดนั้น ณ ปัจจุบันหล่นมาอยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยตัวเลข 426,000 คัน
เมื่อมองไปที่ตลาดต่างประเทศนั้น ถือว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของ BYD และพวกเขาสามารถทำยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ในตลาดนอกประเทศจีนแซงหน้า Tesla ได้สำเร็จ โดยมีการเปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ยอดขายของ BYD ในส่วนของรถยนต์พลังไฟฟ้าทั่วโลกนั้นมีการเติบโตถึง 21% ขึ้นมาอยู่ที่ 426,039 คัน ขณะที่ Tesla มียอดขายลดลงมาอยู่ที่ 4.8% ลงมาอยู่ที่ 443,956 คัน
ในปีที่แล้ว การผลิตรวมของ BYD ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวและรถยนต์ไฮบริด มีมากกว่า 3 ล้านคัน และแซงหน้าการผลิตรถยนต์ของ Tesla ที่ 1.84 ล้านคันเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อแยกย่อยออกมาเฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้า BYD ผลิตรถยนต์โดยสารที่ใช้แบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว หรือ BEV เพียง 1.6 ล้านคัน และรถยนต์ไฮบริด 1.4 ล้านคัน และนั่นทำให้ Tesla ยังครองตำแหน่งผู้นำยอดขายของรถยนต์พลังไฟฟ้าเอาไว้ได้
ตามข้อมูลของ Counterpoint ระบุว่า จีนจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ของยอดขาย BEV ทั่วโลกจนถึงปี 2027 และยอดขาย BEV ของจีนคาดว่าจะมีตัวเลขมากกว่ายอดขายในอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 2030 รวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ตาม อนาคตของผู้ผลิตจีนอาจจะต้องพบกับปัญหาเรื่องของนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว สหภาพยุโรปประกาศว่าจะเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับบริษัท EV ของจีน เพื่อจัดการกับ ภัยคุกคามที่ทำให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปที่คาดการณ์ได้ชัดเจนและใกล้จะเกิดขึ้น
BYD จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 17.4% Geely จะถูกเพิ่มภาษีเป็น 20% SAIC จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 38.1% ซึ่งสูงที่สุดในสามอัตรานี้ ซึ่งสูงกว่าภาษีมาตรฐาน 10% ที่กำหนดไว้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้า
PHEV เติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือ การขยายตัวในตลาดของรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือ PHEV โดยทาง Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายทั่วโลกของรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น 13% ในเดือนมิถุนายน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2023 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตในจีน
จากความแรงต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน คาดวส่า ยอดขาย PHEV ทั่วโลกแตะ 1.4 ล้านคันในเดือนกรกฎาคม โดย 850,000 คันอยู่ในประเทศจีน ซึ่งเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบเป็นรายปี Lester กล่าว ในยุโรป ยอดขายต่อเดือนลดลง 7% เหลือ 300,000 ล้าน โดยฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ขาดทุนนำหน้า ในขณะที่อิตาลีบันทึกเพิ่มขึ้น 34% หลังจากได้รับมาตรการจูงใจจากรัฐบาล เขากล่าวเสริม ส่วนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขาย PHEV เพิ่มขึ้น 6% เป็น 140,000 ล้านในเดือนเดียวกัน
จากความนิยมที่เกิดขึ้น มีการวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของลูกค้าที่มองว่า PHEV คือ ทางเลือกที่ลงตัวเพราะมีฟังก์ชั่นที่อยู่ตรงกลางระหว่างรถยนต์ไฮบริดแบบ HEV และ BEV โดยเฉพาะในเรื่องความสะดวกของการใช้งาน ซึ่งยังสามารถเติมน้ำมันได้ และสามารถขับในรูปแบบของ EV Mode ได้ในช่วงระยะทางหนึ่งด้วยความเร็วในระดับบวกลบ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแต่ละแบรนด์
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วจากเทคโนโลยีที่เกือบจะถูกยกเลิกหลังการเข้ามาของ BEV ตอนนี้ PHEV จะยังไปต่อได้อีกขนาดไหนในช่วงรอยต่อของความเปลี่ยนแปลงในด้านการขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก
|