ช่วงนี้ผลิตรถมาเท่าไหร่? เป็นไม่พอขาย โดยเฉพาะกลุ่มอีโคคาร์ อย่างน้องใหม่ มิตซูบิชิ มิราจ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตอนนี้มียอดจองทะลุ 2.5 หมื่นคันเข้าไปแล้ว กว่าจะเคลียร์หมดยาวไปถึงเดือนพฤศจิกายนโน้น แม้จะพยายามเร่งกำลังการผลิตเป็น 3,500 คันต่อเดือนแล้วก็ตาม นี่ก็คงแสดงให้เห็นว่ามิราจ มีดี ทีเดียว แต่จะดีจริงจนพอที่ยืนระยะยาวได้หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป...
แน่นอนเมื่อคิดว่าตัวเอง มีดี มิตซูบิชิจึงได้จัดทริปให้สื่อมวลชนได้ลองขับแบบเต็มๆ ด้วยระยะทางกว่า 250 กม. จากปทุมธานี- อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งรวมระยะทางไป-กลับกว่า 500 กม. เพื่อให้ได้สัมผัส สมรรถนะของรถเล็กน่ารัก ที่มีให้เลือกหลากสียังกับลูกกวาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน หัวใจของบรรดาอีโคคาร์ รวมถึงการขับขี่บนถนนหลวงจริงๆ โดยเฉพาะสโลแกนที่ว่า... ให้คุณได้มากกว่า?!!
ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ได้เข้าร่วมลองขับในกลุ่ม 2 ซึ่งจะต้องนั่งรถตู้ไปยังอ.สวนผึ้ง สมทบกับกลุ่มแรกที่ขับเจ้ามิตซูบิชิ มิราจ จากสำนักงานใหญ่ย่านนวนคร ปทุมธานี ไปเจอกันที่ซีนเนอรี รีสอร์ท อ.สวนผึ้ง จากนั้นจึงจะร่วมกันทดสอบบนเส้นทางพิเศษ ซึ่งคดโค้งตามขุนเขาของสวนผึ้ง 2 รอบ ระยะทางครั้งละ 60 กม.
สาเหตุที่มิตซูบิชิได้จัดทดสอบรูปแบบดังกล่าว เพราะมิตซูบิชิ มิราจ แม้จะเป็นรถเล็ก จุดประสงค์เพื่อวิ่งในเมืองเป็นหลัก แต่หากต้องการวิ่งระยะทางไกล และโดยเฉพาะบนเส้นคดโค้งบนเขาก็ทำได้ ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณผู้หญิง ด้วยระบบ G Sensor ติดตั้งในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งจะมีแรงช่วยฉุดเวลาลงเขาหรือเนินชัน โดยไม่ต้องแตะเบรกมากนัก และยังมีระบบป้องกันรถไหลเวลาปล่อยเบรกจากเนินชัน
จากการลองปล่อยรถไหลลงเนิน หรือทางลงเขาแรกๆ ด้วยความเร็วกว่า 80 กม./ชม.ขึ้นไป ไม่ค่อยรู้สึกถึงแรงฉุดนัก แต่เมื่อลองลดความเร็วลงต่ำกว่า ปรากฏว่ามีแรงฉุดรถรู้สึกได้เลยทันที ตรงนี้นับเป็นจุดดีของเจ้าตัวเล็กมิราจ ทำให้ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยนัก และช่วยคุณสุภาพสตรีที่จะแตะเบรกอย่างเดียว ไม่ถนัดใช้เกียร์ต่ำช่วยเวลาลงเขาหรือเนินชัน
เช่นเดียวกับระบบป้องกันการไหล เวลารถจอดบนทางชัน ซึ่งเมื่อปล่อยเบรกจะมีแรงฉุดไม่ให้รถไหล ก่อนจะกดคันเร่งช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น แม้จะเป็นระดับราคากว่า 5 แสนบาท แต่ใส่เทคโนโลยีใกล้เคียงกับรถหรู หรือเอสยูวีระดับราคาหลักล้านขึ้นไปทีเดียว
พูดถึงเทคโนโลยีทันสมัยแล้ว มิตซูบิชิ มิราจ ให้มาสมราคาคุยจริงๆ ที่ชอบเห็นจะเป็นระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้าหลังดับเครื่องยนต์ โดยกระจกไฟฟ้าสามารถเปิด-ปิดต่อได้ ภายใน 30 วินาทีก่อนเปิดประตู ซึ่งตรงนี้จะช่วยได้มากเวลาบางคนถอยจอด และมักเปิดกระจกมอง เมื่อเสร็จก็จะดับเครื่องยนต์ทันที ทำให้ต้องเสียเวลาเปิดไฟเพื่อกดกระจกขึ้น และนอกจากนี้ยังมีระบบตัดการทำงาน ไฟหน้าอัตโนมัต ิเมื่อดับเครื่องยนต์ ระบบล็อกประตูซ้ำอัตโนมัติ และระบบหน่วงเวลาปิดไฟในห้องโดยสารภายใน 15 วินาที เป็นต้น
ในส่วนของการลองขับบนเส้นทางคดโค้ง และถนนหลวงในท้องถนนที่ไม่เรียบนัก เป็นบทพิสูจน์ ช่วงล่างของมิราจ ที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแมคฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ปรากฏว่าให้ความรู้สึกค่อนข้างนุ่ม แต่ก็ไม่ถึงกับหนึบนัก ยิ่งเวลาเข้าโค้งแรงๆ จะมีอาการท้ายโยนออก ทำให้ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็ยังสามารถ เอาอยู่...
ตรงนี้พอจะบอกได้ว่า มิตซูบิชิ มิราจ ไม่ถึงกับเอาไหนเอากัน แต่ก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว หากเทียบกับคู่แข่ง แล้วจะกลางๆ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากยางขนาด 14 นิ้ว 165/65 หากเปลี่ยนใหญ่ขึ้นน่าจะดีกว่านี้
กลับที่พักได้มีโอกาสสำรวจรถอย่างจริงจัง เรื่องรูปร่างหน้าตาคงตัดสินใจกันได้ เพราะปัจจุบันมีวิ่งกันให้เห็นพอสมควร อีกอย่างเป็นเรื่องความชอบของแต่ละบุคคล แต่สิ่งที่สะดุดเห็นจะเป็นการประกอบ มีความลงตัวและเนียนกว่ารถคันที่นำมาเปิดตัวมาก ดูมีคุณภาพและดีขึ้นทีเดียว อาจเป็นเพราะนี่เป็นรถรุ่นผลิตจริง ไม่ใช่รุ่น Pre Production เหมือนกับคันที่นำมาเปิดตัว
ในส่วนของห้องโดยสาร ตำแหน่งด้านหน้าไม่มีปัญหา คนตัวโตๆ หรือสูงๆ เข้าออกสบาย แต่เมื่อลองมานั่งเบาะหลังก็เหมาะสมกับรูปร่างเช่นกัน ไม่ได้คับแคบ หรืออึดอัดแต่อย่างใด ทั้งที่หากมองภายนอกจะเป็นรถที่เล็กพอสมควร แต่การออกแบบฐานล้อของมิราจ เทียบกับกลุ่มอีโคคาร์ถือว่ายาวสุดเท่ากับ นิสสัน มาร์ช
สิ่งที่โดดเด่นของมิตซูบิชิ มิราจ อีกอย่างเห็นจะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มา อย่างครบครัน โดยเฉพาะรุ่นท็อปที่จัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า ปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ กุญแจ KOS ที่ช่วยล็อก-ปลดล็อกประตู และฝากระโปรงท้าย ระบบพับเก็บและกางกระจกมองข้างอัตโนมัติ กระจกไฟฟ้า และความบันเทิงด้วยวิทยุ/ซีดี/เอ็มพี3/ดีวีดี จอภาพแบบระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย หรือบลูธูท รวมถึงช่อง AUX และ USB
เช้าวันใหม่ขากลับอ.สวนผึ้ง-ปทุมธานี เป็นการขับทางไกลระยะทางประมาณ 250 กม. โดยจะมีช่วงทดสอบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง แบบใช้งานปกติบนถนนหลวงระยะทาง 191 กม. ใช้ความเร็วประมาณ 110-120 กม./ชม.
มิตซูบิชิ มิราจ วางเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ปรากฎว่าแสดงสมรรถนะได้ดี เครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ CVT ทำงานสัมพันธ์กันได้ดี เรียกกำลังมาได้เป็นน่าพอใจ การเร่งแซงทำได้ดี ไม่ปรู๊ดปร๊าดแต่ก็ไม่อืดจนต้องลุ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะน้ำหนักที่ไม่มากนัก 830-870 กก.เท่านั้น(แล้วแต่ละรุ่น)
ช่วงวิ่งบนทางด่วนวงแหวนตะวันตก ลองอัดกันแบบเต็มๆ ช่วง 120-140 กม.ไหลลื่นใช้ได้ แต่เริ่มมีอาการโคลงให้เห็น ความเร็วที่เหมาะสมน่าจะไม่เกิน 120 กม./ชม. แต่ทราบมาว่าเพื่อนสื่อมวลชนบางคน ได้จังหวะเหมาะอัดถึง 170 กม./ชม. โดยน้ำหนักพวงมาลัยช่วงความเร็วต่ำเบาพอสมควร เมื่อความเร็วสูงก็ปรับให้หนืดขึ้น นี่เป็นจุดเด่นของมิราจ มีความแม่นยำทีเดียว ถึงจะไม่เฉียบคมเท่ากับคู่แข่งบางรุ่นก็ตาม ขณะที่การทำงานของเบรกมั่นใจได้
เมื่อจบการทดสอบและเติมน้ำมันกลับเต็มถังเช่นเดิม ปรากฏว่าอัตราสิ้นเปลืองที่มิตซูบิชิเคลมไว้ 22 กม./ลิตร รถคันที่ขับทำได้ประมาณ 19 กม./ลิตร ซึ่งน่าพอใจกับการขับด้วยความเร็วเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 120 กม./ชม. เช่นนี้
สรุปมิตซูบิชิ มิราจ รถเล็กน่ารักหลากสีลูกกวาดให้เลือก มีราคาตั้งแต่ 3.8-5.46 แสนบาท เป็นรถที่โดดเด่นเรื่องอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มา เรียกว่าคุ้มเกินราคา ขณะที่สมรรถนะพอตัว เหมาะกับใช้ในเมือง แต่วิ่งทางไกลก็พอไหว...
ข้อมูลเทคนิครถ : Mitsubishi Mirage
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ [19375 Views]
|