ทิ้งระยะห่างไม่นาน หลังเคาะราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และแล้วก็ได้เวลาทดสอบสมรรถนะ รถสปอร์ตรุ่นล่าสุด สำหรับฮอนด้า CBR300R (ซีบีอาร์300อาร์) สนนราคาแนะนำ 133,000 บาท (สีขาว-แดง, สีแดง และสีดำ) และสีพิเศษส้ม-ขาว ลาย Repsol Replica จากทีม Repsol Honda เจ้าของแชมป์โลก MotoGP ราคา 136,000 บาท
โดยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่ายปีกนกเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมผัสโมเดลใหม่ กันที่ศูนย์ขับขี่ปลอดภัย ฮอนด้า กรุงเทพฯ ถนนรามคำแหง และเช่นเคยเหมือนทุกครั้ง ช่วงเช้าเป็นการอบรมข้อมูลทางเทคนิค ส่วนช่วงบ่ายเป็น ภาคปฏิบัติได้ลองขี่จริงบนสนามทดสอบ
จากกระแสความนิยมบิ๊กไบค์ที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง ฉุดตลาดรถสปอร์ตให้มีความคึกคักตามไปด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มตัวเลือกเริ่มต้นถึงเครื่องยนต์ขนาดกลาง ซึ่งฮอนด้าหวังให้โมเดลนี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างสองล้อ ไซส์เล็กและไซส์ใหญ่ที่มีความจุเครื่องยนต์ตั้งแต่ 500 ซีซี ขึ้นไป
สำหรับจุดกำเนิดของ CBR300R เป็นการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์และมาทำตลาดแทนที่รุ่น CBR250R (ซีบีอาร์250อาร์) โดยในภาพรวมไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่การยืดระยะชักเป็น 63 มม. (เดิม 55 มม.) ส่งผลให้ความจุ เครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 286 ซีซี (เดิม 249 ซีซี)
พร้อมการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน ตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ บาลานเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น สปริงคลัทช์สั้นกว่าเดิม และเสริมแผ่นยึดเครื่องยนต์ ที่เฟรมเพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนที่มากขึ้น เป็นต้น
ส่วนของรูปร่างหน้าตา จุดใหญ่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงชุดไฟหน้าคู่ถอดแบบมาจากรุ่นพี่ CBR1000RR (ซีบีอาร์1000อาร์อาร์) รวมถึงชุดสีหรือแฟริ่งที่ลดความโค้งมนลง และเพิ่มเส้นสายให้ดูโฉบเฉี่ยวมีความเป็นเหลี่ยมสันมากขึ้น
ขณะเดียวกันฮอนด้าไม่ลืมปรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถังน้ำมันวางในตำแหน่งสูงขึ้น ก้านกระจกสั้นลง ฝาครอบแฟริ่งด้านท้ายและท่อไอเสียทรงกลม ขยับองศาให้เอียงสูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดช่วยให้รูปลักษณ์โดยรวมสะท้อน บุคลิกความเป็นรถสปอร์ตมากกว่าเดิม
ด้านออฟชันติดรถ เรือนวัดความเร็วยกชุดของเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับสวิตช์แฮนด์ฝั่งขวายังคงมีเพียง ปุ่มสตาร์ทและสวิตช์หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ ขณะที่แฮนด์ฝั่งซ้ายใช้ควบคุมไฟสูง-ต่ำ ไฟเลี้ยว และแตร โดยมีปุ่มไฟขอทาง (Pass) เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
ถึงอย่างไรแม้ว่าจะผ่าตัดศัลกรรมเพิ่มความหล่อในหลายๆ ส่วนแล้ว แต่ในด้านท่านั่งยังคงออกแนวสปอร์ตทัวริ่ง เพราะช่วงแขนและลำตัวผู้ขี่ไม่ต้องก้มต่ำแนบกับตัวรถมากนัก ส่วนการควบคุมทำได้คล่องตัว ท่าขี่นั่งสบาย ไม่รู้สึกเมื่อยล้า
สำหรับขุมพลังบล็อกเดิมขยับปริมาตรความจุเป็น 286 ซีซี สูบเดียว DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 22.8 กิโลวัตต์ (30 แรงม้า) ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.2 นิวตัน-เมตรที่ 7,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด การส่งกำลังจากเครื่องยนต์ผ่านการบิดคันเร่ง ยังทำได้เรียบเนียนเช่นเคยตามสไตล์รถที่เป็นมิตรกับผู้ขี่ ขณะที่การตอบ สนองของอัตราเร่งให้ความแรงเร้าใจขึ้นแบบสัมผัสได้ ส่วนหนึ่งเพราะอัตราทดเกียร์และฟันสเตอร์หลังมีการเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม
ส่วนระบบช่วงล่างโช้กหน้าแบบเทเลสโคปิค ด้านหลังสวิงอาร์มโช้กเดี่ยวแบบโปรลิงค์ สามารถปรับระดับความแข็ง ของสปริงได้ ในด้านประสิทธิภาพทำหน้าที่ยึดเกาะถนนได้ดี และมีผลทำให้การควบคุมวิ่งเข้า-ออกโค้งทำได้อย่างลื่นไหล ขณะเดียวกันระบบเบรก ใช้ดิสก์เบรกหน้า-หลัง และมี ABS ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นเคย ซึ่งด้านหน้าเปลี่ยนมา ใช้คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ (เดิม 3 ลูกสูบ) พร้อมตัดระบบกระจายแรงเบรกออกไป แต่สำหรับความปลอดภัยยังไว้ใจได้เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งตรงรุ่นอย่าง คาวาซากิ Ninja 300 (นินจา 300) การตัดสินใจเลือกซื้อคงไม่ยากนัก เพราะในด้านสมรรถนะของสปอร์ตรุ่นล่าสุดฝั่งค่ายปีกนกดูจะเป็นรองอยู่พอสมควร แต่หากพิจารณาในภาพรวม ทั้งความสด ใหม่ของโมเดล ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า ชื่อแบรนด์และความนิยมในท้องตลาด
เหนืออื่นใดด้วยราคาค่าตัวที่ห่างกันเฉียดครึ่งแสนบาท...อาจเป็นปัจจัยหลักที่ใช้ตัดสินว่าตัวเลือกใดมีความคุ้มค่ามากกว่ากัน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ [9611 Views]
|