เมื่อพูดถึงกระแสความนิยมบิ๊กไบค์ในบ้านเราที่กำลังเติบโต นอกจากปัจจัยหนุนด้านราคาที่จับต้องได้สะดวกขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่ายสองล้อต่างพร้อมใจกันเดินเกมรุกส่งตัวเลือกลงทำการแข่งขันและผลักดันความต้องการในตลาด เพื่อหวังชิงส่วนแบ่งทางธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มสดใสแม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังชะลอตัวกันอย่างถ้วนหน้า
โดยเฉพาะกลุ่มเน็กเก็ตไบค์ขนาดกลางเห็นได้ชัดเจนว่ามีค่อนข้างหลากหลาย หากนับเฉพาะ 4 ค่ายญี่ปุ่นก็มีโมเดลส่งเข้าประชันชิงชัยกันครบทุกยี่ห้อ ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดขายและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ยามาฮ่า เอ็มที-07 (MT-07) คือหนึ่งในตัวเลือกกลุ่มนั้นและมีความโดดเด่นไม่น้อยกว่าคู่แข่งสัญชาติเดียวกัน ทั้งนี้ ผู้จัดการมอเตอริ่ง มีโอกาสสัมผัสสมรรถนะสปอร์ตเปลือยที่มาพร้อมสโลแกน Rise Up Your Darkness รุ่นนี้ ในกิจกรรมเสริมทักษะการควบคุมรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ที่ศูนย์ฝึกขับขี่ YRA พร้อมกับลูกค้าผู้ใช้สองล้อ ค่ายส้อมเสียงที่เข้าร่วมอบรมอีกจำนวนประมาณ 20 กว่าคัน
งานนี้จึงถือว่าได้มาเติมน้ำในแก้วด้านการขับขี่บิ๊กไบค์ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ตลอดจนทดสอบผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ไปพร้อมกันเลยทีเดียว
อันดับแรกก่อนเริ่มต้นการขับขี่ หลายคนน่าจะสงสัยว่าทำไมเราถึงตั้งสมญานามให้รถรุ่นนี้ว่าเป็นชายกลาง ที่มาที่ไปไม่มีอะไรซับซ้อน หากมองตำแหน่งการทำตลาด ปัจจุบันยามาฮ่าพยายามจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใน สังกัดให้อยู่ภายใต้หมวดหมู่ที่จดจำได้ง่าย ประเภทรถสปอร์ตอยู่ในอาร์ซีรีย์ ส่วนเน็กเก็ตไบค์ใช้ชื่อตระกูลเอ็มที (MT หรือ FZ ต่างกันตามพื้นที่การทำตลาด) และไล่เรียงความเร้าใจตามขนาดเครื่องยนต์ ตั้งแต่ความจุ 300-1,000 ซีซี. เริ่มจากน้องเล็กรุ่น 03 ตามด้วยชายกลาง 07 ขยับขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ 09 และปิดท้ายด้วยตัวพ่อที่รหัส 10 ตามลำดับ
สำหรับรูปร่างหน้าตาของชายกลางมีความละม้ายคล้ายคลึงหรือแทบไม่แตกต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือดรุ่นอื่นๆ มากนัก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การโชว์ลายเส้นทรวดทรงของขุมพลังเครื่องยนต์ มองแล้วเปรียบเสมือนมัดกล้ามที่มีความแข็งแกร่ง ให้ภาพของบุคลิกตัวรถที่มีความปราดเปรียว ว่องไว
โดยรวมแล้วสรีระขณะขับขี่ให้ความรู้สึกที่สบาย จากการได้สัมผัสรวมระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร เริ่มต้นที่โชว์รูมยามาฮ่าไรเดอร์คลับย่านเกษตร-นวมินทร์ มุ่งหน้าสู่ศูนย์ฝึกขับขี่ YRA ทั้งขาไปและกลับ รวมทั้งวิ่งวนในสนามเกือบทั้งวัน ไม่รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด จะมีก็เพียงอาการอ่อนเพลีย เพราะเสียเหงื่อจากแสงแดดช่วงฤดูร้อนมากกว่า
สำหรับสมรรถนะของขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 689 ซีซี. 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 75 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 68 นิวตัน-เมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งมีความจัดจ้านแต่ไม่ถึงกับดุดันจนน่ากลัว เพราะยังสามารถควบคุมบังคับได้เชื่องมือ ด้วยการใช้เทคโนโลยีครอสเพลนที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นใหญ่ ซึ่งให้พลังความแรงที่สมูทไหลลื่นต่อเนื่อง และเมื่อรวมกับจุดเด่นของน้ำหนักตัวรถที่ไม่มากนัก ประมาณ 182 กิโลกรัม ประสิทธิผลที่ได้จึงเป็นตัวเลือก ที่มีความคล่องตัวมากๆ เหมาะสมกับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือรูปแบบสตรีทไบค์ที่เน้นใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ
ขณะที่ระบบช่วงล่างการยึดเกาะและซับแรงกระแทกทำได้ประทับใจ เท่าที่สัมผัสจากการพลิกรถในสถานี วิ่งซิกแซกและบนท้องถนนขณะผ่านลูกระนาด ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล คาดว่าเซตค่ามาเพื่อตอบโจทย์การ ขับขี่ที่ต้องการความสบายเป็นหลัก ส่วนระบบเบรกทำหน้าที่ได้เป็นปกติดีเยี่ยมหรือถึงขั้นเหนือกว่าคู่แข่ง ในระดับเดียวกัน อีกทั้งระยะการตอบสนองของ ABS ถ้าไม่กดเบรกหนักจริงๆ ก็ไม่ออกมาเพ่นพ่านให้กังวลใจ อย่างไรก็ตาม ยางติดรถทดสอบไม่ใช่ยางเดิมจากโรงงาน รายละเอียดการใช้งานตรงจุดนี้จึงยังไม่ชัดเจนนัก
ทางด้านอัตราสิ้นเปลืองกดปุ่มดูค่าเฉลี่ยแบบเรียลไทม์ หน้าจอแสดงผลตั้งแต่ 17-22 กิโลเมตรต่อลิตร ขึ้นอยู่กับการขับขี่ในขณะนั้น
บทสรุปทั้งหมดจากการสัมผัสเอ็มที-07 หากอธิบายให้เห็นภาพ รูปร่างหน้าตาและบุคลิกการขับขี่ รวมถึงฉายาเมื่อเรียง ตามลำดับเครือญาติในตระกูลผลิตภัณฑ์ ช่างบังเอิญตรงกับพระเอกในนวนิยายอมตะที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว จากรูปลักษณ์ภายนอกมาดหล่อมีเสน่ห์ดูดีมีสกุล แม้ในช่วงที่อารมณ์ขุ่นเคือง ยามแสดงออกอาจจะมีพฤติกรรม ที่ก้าวร้าวบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับร้ายกาจอย่างที่คิด
ปิดท้ายที่ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ด้วยราคาค่าตัว 299,000 บาท จุดหลักนอกจากสมรรถนะการขับขี่ที่สมูทนุ่มนวล เป็นเอกลักษณ์แล้ว อีกหัวข้อที่นักบิดหลายคนให้น้ำหนักความสำคัญ คือ จ่ายแพงกว่าแต่ได้โมเดลนำเข้า จากประเทศญี่ปุ่น วัสดุชิ้นส่วนและงานประกอบมีมาตรฐานโดดเด่นกว่าตัวเลือกเมดอินไทยแลนด์
โดยความต่างข้อหลังแม้เป็นเพียงความรู้สึกภายใน แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่สามารถนำมาใช้ร่วมพิจารณา ก่อนตัดสินใจได้ด้วยเช่นกัน
ที่มา : MGR Online
|