ค่ายปีกนก ฮอนด้า จัดทริปสัมผัสความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ในตระกูล 500 ซีรีย์ ที่เพิ่งปรับโฉมใหม่และเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยชวนสื่อมวลชนสายยานยนต์กว่า 20 ชีวิต ร่วมเดินทางแบบวันเดย์ทริปจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ ระยะทางรวมประมาณ 200 กิโลเมตร
สำหรับบิ๊กไบค์โมเดลใหม่ล่าสุดในตระกูล 500 ซีรีย์ ทั้ง 3 รุ่น ประกอบด้วย ซีบีอาร์ 500 อาร์ (CBR500R) ราคา 215,000 บาท, ซีบี 500 เอฟ (CB500F) ราคา 210,000 บาท และซีบี 500 เอ็กซ์ (CB500X) ราคา 220,000 บาท เผยโฉมครั้งแรกอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 32 หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015 พร้อมกวาดยอดจองภายในงานสูงกว่า 660 คัน
โดยก่อนเวลาล้อหมุนมีสองผู้บริหารจากเอ.พี.ฮอนด้า นำโดย มนสิชา สังข์สุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด พร้อมด้วย ยุทธนา มั่งคั่ง ผู้จัดการฝ่ายบิ๊กวิง / บิ๊กวิงกรุงเทพ ส่วนงานวางแผนธุรกิจ มาร่วมให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์และรายละเอียดของการเดินทางด้วย
กิจกรรมทดสอบขับขี่รถบิ๊กไบค์ตระกูล 500 ซีรีย์ ในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Honda BigBike Excites The World บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-นครนายก-เขาใหญ่ ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร เพื่อเปิดประสบการณ์ยิ่งใหญ่ระดับโลกให้กับสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วม 20 ท่าน ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยภายใต้ดีไซน์ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ จะทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุกสนานที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น มนสิชา กล่าว
ยุทธนา กล่าวเสริมว่า เส้นทางทดสอบในครั้งนี้ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมที่ชาวไบเกอร์ชื่นชอบ นอกจากมีความสวยงามแวดล้อมด้วยธรรมชาติป่าเขา และมีจุดแวะพักสำคัญๆ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมายแล้ว บางช่วงของเส้นทางต้องขับขี่ผ่านเขตชุมชน ทางคดโค้งและทางลาดชันบนภูเขา ทำให้ผู้ขับขี่ได้สนุกสนานไปกับการควบคุมรถในทุกมิติ และรับรู้ถึงสมรรถนะด้านต่างๆ ของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัว อัตราเร่งเครื่องยนต์ ความจัดจ้านขุมพลัง ความนุ่มนวลของกลไกการเปลี่ยนเกียร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ระบบเบรก ABS ที่เพิ่มความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ด้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของโฉมใหม่ในตระกูลนี้ หากตัดหัวใจสำคัญอย่างขุมพลังขับเคลื่อนออกไปก่อน ถือว่าฮอนด้าจัดหนักพอสมควร สำหรับการปรับหน้าตาและเสริมฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่มากขึ้น ซึ่งรายละเอียดของรูปลักษณ์มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละโมเดล
ขณะที่ออฟชั่นติดรถมีส่วนที่เพิ่มเติมเหมือนกันอยู่หลายอย่าง ได้แก่ การใช้ไฟหน้าและไฟท้ายใหม่แบบ LED โช้กอัพด้านหน้าเพิ่มการเซตค่า Preload Adjuster พร้อมก้านเบรกหน้าปรับได้ 5 ระดับ รวมถึงบอกลาฝาเติมน้ำมันจากเดิมเปิดออกจะหลุดออกมาพร้อมลูกกุญแจ มาใช้แบบเปิด-ปิด ยึดติดที่ถัง เป็นต้น
ในส่วนของการขับขี่รูปแบบคาราวานท่องเที่ยวเป็นขบวน ใช้ความเร็วไม่สูงนักเฉลี่ย 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงตลอดทริป ผู้ทดสอบทุกคนมีโอกาสสลับสับเปลี่ยนได้ลองครบทั้ง 3 รุ่น ไล่เรียงตั้งแต่โฉมสปอร์ต แม้ท่านั่งจะต้องก้มหลังมากกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในตระกูลเดียวกัน แต่การขี่ทางไกลครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเมื่อยล้า การควบคุมทำได้คล่องตัว ทั้งในเมืองและนอกเมือง ตามด้วยโฉมเน็กเก็ตที่ท่านั่งให้การควบคุมบังคับมีความสบายมากขึ้น และปิดท้ายที่ความสบายขั้นสุดในสไตล์แอดเวนเจอร์ อย่างไรก็ตาม ท่านั่งของแต่ละรุ่นโดยรวมไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากโฉมเดิมเท่าไรนัก รวมทั้งระบบช่วงล่างและการยึดเกาะถนนที่ทำได้ดีอยู่แล้วด้วย
ขณะที่ขุมพลังเครื่องยนต์ยังเป็นบล็อกเดียวกับที่เปิดตัวครั้งแรก ในปริมาตรความจุ 471 ซีซี. 2 สูบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด การตอบสนองของอัตราเร่งจากแรงบิดที่ข้อมือ ยังคงมีจุดเด่นอยู่ที่ความนุ่มนวล โดยความแรงถูกปล่อยออกมาต่อเนื่องเรียบเนียน ไม่กระชากหรือรุนแรง ถือว่ามีความเป็นมิตรสำหรับนักบิดมือใหม่ค่อนข้างมาก
บทสรุปของการสัมผัสสมรรถนะ 500 ซีรีย์ ยังคงครองตำแหน่งตัวเลือกที่คุ้มค่าสมราคา เหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นขับขี่บิ๊กไบค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้กว้าง ทั้งแบบขี่ในเมืองเน้นความคล่องตัว หรือใช้ขี่เที่ยวเดินทางไกลได้ทั้งความสบายและความประหยัดจากอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 22 กิโลเมตร/ลิตร
จากจุดเด่นที่มีอยู่เดิมเมื่อรวมกับการปรับโฉมหน้าตาสดใหม่ครั้งนี้ น่าจะทำให้ฐานลูกค้าบิ๊กไบค์ค่ายปีกนกขยายตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย
ที่มา : MGR Online
|